อยู่ที่วาสนา
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๖๒
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ถาม : ประมาณปีที่ผ่านมา อยู่ๆ โยมก็เห็นตัวเองพูดๆๆๆ เขาพูดทั้งวัน เขาพูดเองก็รำพึงว่าบ่นอะไรทั้งวัน จากนั้นก็เลยเข้ามาข้างในตัว มันนุ่มๆ เหมือนเราอยู่ตรงจุดสะดือ มองเห็นกระดูกสันหลังฝังปนในเนื้อ เห็นแค่ช่วงเดียวก็รู้ว่า กระดูกไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา
พอออกมาก็เห็นเขาออกไปคิด เดี๋ยวคิดออกๆๆ ก็รู้ว่าเราไม่ได้คิด มันคิดเอง เลยรู้ว่าความคิดไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เป็นชัดๆ มากแบบนี้ประมาณ ๕ วัน และโยมก็นึกในใจว่า ถ้าเรามีสติตลอดวันก็คือการภาวนานั่นเอง ในช่วงแรกๆ เราจะเห็นความคิดชัด เขาคิดอะไรก็เห็น แล้วตัวที่เห็นจะค้างอยู่ที่หน้าอก
กราบเรียนถามหลวงปู่ดังนี้เจ้าค่ะ
๑. ทำไมบางช่วงมันเหมือนเหนื่อยๆ หนักๆ ต้องผ่อนหายใจยาวๆ จึงจะหาย เพราะอะไรคะ
๒. โยมเน้นเดินจงกรมมากกว่านั่งค่ะ เพราะนั่งได้แป๊บเดียวก็หลับ จะแก้ไขอย่างไรคะเพื่อที่จะนั่งให้นานๆ สมัยก่อนใหม่ๆ นั่งได้ทุกวัน วันละหนึ่งชั่วโมง เดี๋ยวนี้หลับตาแป๊บเดียวก็หลับค่ะ
๓. เวลาเดินจงกรมควรภาวนาแบบไหนจึงจะก้าวหน้าคะ
๔. เมื่อถึงเวลาจวนจะตาย เวทนาจะกล้ามาก จะทำอย่างไรจึงจะไม่ให้ลืมสภาวธรรมว่า ร่างกาย ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕
ขอบพระคุณเจ้าค่ะ
ตอบ : จบ จบคือวางไว้หมดเลย สิ่งที่ผ่านมานี้มันคืออดีตทั้งสิ้น สิ่งที่ผ่านมามันคืออดีตทั้งสิ้น เพราะมันเป็นอดีต เห็นไหม ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ให้ห่วงอดีตอนาคต ไม่ติดกับอดีตและไม่ยึดมั่นถือมั่นไปในอนาคต ให้อยู่กับปัจจุบันนี้ๆ
แล้วถ้าปัจจุบันนี้นะ กลับมาทำอย่างไรรู้ไหม
กลับมาหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ กลับมาทำความสงบของใจ ถ้าใจมันสงบแล้วนะ สิ่งที่มันรู้มันเห็นมันจะชัดเจนของมันขึ้นไป ถ้าใจยังไม่สงบขึ้นมา สิ่งที่รู้ที่เห็นขึ้นมา อย่างสิ่งที่ว่านี้เป็นอดีตไปแล้ว
สิ่งที่เป็นอดีตไปแล้วนะ วันหนึ่งเห็นตัวเองว่าพูดๆๆๆ แล้วเราก็มีสติปัญญาตามไป บ่นอะไรทั้งวันๆ พอบ่นอะไรทั้งวันก็ไปเห็นเป็นกระดูกสันหลังปนเนื้อ พอพิจารณาไปแล้วกระดูกนั้นไม่ใช่เรา เราไม่ใช่กระดูก ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕...อันนี้เป็นธรรมผุด
ธรรมที่มันผุดขึ้นมาๆ เวลาเราเห็นสิ่งใดขึ้นมามันเป็นสัจธรรม แล้วพอธรรมมันผุดขึ้นมานะ อู้ฮู! มันอบอุ่นมาก มันมีความสุขมาก มีความเข้าใจมาก เพราะอะไร
เพราะเราภาวนาอยู่นะ เวลาธรรมมันผุด ธรรมมันผุดขึ้นมา ตอนนั้นน่ะเบาไปหมด เข้าใจไปหมดนะ สุดท้ายแล้วมันก็เป็นอดีตไปไง พอมันเป็นอดีตไปแล้ว แล้วเราจะทำอย่างไร
“๑. ในบางช่วงเห็นว่ามันหนักๆ เหนื่อยๆ”
มันหนักๆ เหนื่อยๆ เวลาจิตมันคลุกเคล้าแล้วเป็นอย่างนั้นน่ะ
เวลาคนหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ หรือใช้ปัญญาอบรมสมาธิ เวลามันปล่อยมันวางแล้วโล่ง เพราะอะไร เพราะสมาธิคือความเป็นอิสรภาพ จิตที่เป็นอิสรภาพ จิตที่ไม่ต้องไปแบกรับความคิดใดๆ ทั้งสิ้น
คนเราธรรมชาติของจิต ธรรมชาติของจิตๆ จิตนี้เหมือนน้ำ น้ำในแก้ว น้ำอยู่ในแก้วเราไม่อาจจะทราบได้ว่าในแก้วมีน้ำหรือไม่มีน้ำ ถ้าเติมสีอะไรไปเราจะเห็นเป็นสีต่างๆ นั่นน่ะ อ๋อ! ในแก้วนั้นมีน้ำ ในแก้วนั้นมีน้ำ
นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามันอยู่เฉยๆ เผลอๆ ว่างๆ เวลาคิดขึ้นมาเหมือนสีเหมือนแสง มันรู้ว่าเรามีความคิดๆ ไง เวลามันแสดงออกอย่างนั้นมันก็เป็นอย่างนั้น มันก็เลยเวลาว่า “ทำไมมันหนักๆ เหนื่อยๆ”
หนักๆ เหนื่อยๆ เพราะสีมันเข้มข้น มันมีสีเข้มข้นมันก็ชัดเจนของมัน เห็นไหม สีกับน้ำคนละอันกัน น้ำคือน้ำ สีคือสี ความรู้สึกนึกคิดคืออารมณ์ อารมณ์ไม่ใช่จิต จิตไม่ใช่อารมณ์ จิตเป็นจิต อารมณ์เป็นอารมณ์ จิตนี้สักแต่ว่ารู้ ผู้รู้ อารมณ์ความรู้สึกคือความคิด ความคิดคือสิ่งที่ถูกรู้ เวลาเรารู้ขึ้นมาแล้ว ถ้ามันรู้สิ่งใดแล้วมันก็หนักๆ เหนื่อยๆ
แต่ถ้ามันมีสติมีปัญญานะ เรามีสติเท่าทันตัวเราเองนะ ว่าง แล้วถ้ามีใหม่ๆ สดชื่น แล้วพอมีใหม่ๆ เพราะมันเพิ่งเป็นไง แล้วพอนานไปๆ มันก็จะเริ่มแล้ว เริ่มหนักเริ่มเหนื่อยเพราะอะไร เพราะมันไปคลุกเคล้า
ถ้ามันไปคลุกเคล้า ถ้าจะเอาความจริงก็ต้องกลับมาที่หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ กลับมาหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ไอ้ความหนักความเหนื่อยนี้เป็นเรื่องธรรมดา แล้วสิ่งที่มันผ่านมาแล้วเป็นอดีตไปแล้ว วางไว้ สิ่งที่เป็นอดีตไปแล้วอย่าไปดึงมันมานะ
ที่หลวงตาท่านพูด พระกรรมฐาน สิ่งที่จะเป็นอันตรายที่สุดคือสัญญาความจำได้หมายรู้
หลวงตาท่านภาวนาของท่านแล้วท่านเรียนไปด้วย ท่านบอก ๗ ปี ๗ ปีทำสมาธิได้ ๓ หน เวลาลงสมาธิ แหม! มันสุดยอดๆ เพราะตอนนั้นท่านยังเป็นนักเรียนอยู่ ท่านเรียนของท่านอยู่ใช่ไหม มันก็มีความผูกพัน ไปคิดแต่ว่ามันสุขอย่างนั้นน่ะ อยากได้อย่างนั้นน่ะๆ แล้วไม่ได้ แล้วถ้าแบบว่ามันปล่อยวางแล้ว เออ! โล่งโถงเลย พุทโธอีกแล้ว เดี๋ยวมันลงอีก พอลงอีกก็อยากได้อีก
ไอ้นี่ก็เหมือนกัน ที่มันบ่นทั้งวัน ความคิดไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ความคิด ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕ นี่มันเป็นอดีต แล้วเราก็ไปคิดถึงมัน ไปคิดถึงมันนะ
สิ่งที่มันเกิดขึ้นมามันเป็นคุณธรรม มันเป็นสัจธรรมที่เกิดขึ้นบนหัวใจเรา อดีตแล้ววางไว้ อย่าไปยุ่งกับมัน วางไว้ๆ มันยืนยันได้ๆ คนที่ทำสมาธิได้นะ แล้วจะมุ่งมั่นหรือว่ามั่นคงในพระพุทธศาสนาเพราะจิตสงบแล้ว พอจิตสงบแล้วมันรู้ของมันตามความเป็นจริง
รู้ตามความเป็นจริงไม่ใช่รู้โดยคำสั่งสอนของใคร ไม่ใช่รู้โดยครูบาอาจารย์อะไรอบรม รู้ขึ้นมาจากจิตของตนเอง มั่นคง แล้วชัดเจนมาก ถ้าจิตมันรู้เอง นี่สัมมาสมาธิสำคัญอย่างนั้น สัมมาสมาธิ ถ้าเป็นสมาธิแล้ว ถ้ามันรู้ของมันตามความเป็นจริงนะ โอ้โฮ! ไม่ต้องมีใครบอก ปัจจัตตังๆ สันทิฏฐิโก รู้ท่ามกลางใจของตน
นี่ก็เหมือนกัน ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕ เรารู้ของเราเอง แต่รู้ของเราเองมันรู้ผ่านไปแล้ว ถ้ามันเป็นความจริงมันจะมีเหตุมีผลมากกว่านี้ นี่มันเป็นความคิด เป็นความคิดที่เรารู้เราเห็น
แต่ถ้าจิตมันสงบแล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนา ถ้ามันจะเป็นความจริงแล้ว เวลามันใช้ปัญญา ปัญญาของเราไง ปัญญาคือเงินของเรา
เวลาเราไปกินเลี้ยงกับเพื่อน เพื่อนมันเป็นคนจ่ายบิล โธ่! อิ่มแล้วตังค์ยังอยู่ครบ อิ่มแล้วตังค์ยังอยู่ครบ แต่ถ้าเราไปร้านอาหาร เรากินเอง เราต้องจ่ายบิล การจ่ายบิลเราต้องจ่ายตังค์ ตังค์ของเราต้องบกพร่องไปในกระเป๋า ไม่ใช่กินอิ่มแล้วเงินยังอยู่ครบ
นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามันเป็นธรรมผุด มันกินอิ่ม มันมีความรู้สึก แต่ตังค์ยังอยู่ครบ ตังค์อยู่ครบก็คือกิเลสอยู่ครบไง ตังค์พร่องไปก็กิเลสพร่องไปไง นี่พูดถึงถ้ามันเป็นความจริงนะ
แต่ถ้ามันเป็นอาการแบบนี้ เราจะบอกว่า ไม่ใช่บอกว่าผิด ไม่ใช่ผิด ถูก แต่ถูกตามขั้นตอน ขั้นตอนที่มันรู้อย่างนี้มันก็รู้ได้อย่างนี้ ถ้ารู้ได้อย่างนี้ ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์นะ ถ้าเป็นครูบาอาจารย์ที่ไม่เป็นนะ งง
นี่ธรรมมันเกิด ธรรมมันผุดขึ้นมา เพราะอะไร เพราะถ้ามันเป็นความจริงนะ ถ้าจิต ดูที่หลวงปู่ดูลย์พูด “จิตเห็นอาการของจิต”
จิตมันต้องรู้ต้องเห็นของมันก่อน รู้เห็นขึ้นมาเหมือนกับการทำบัญชี การทำบัญชีมันต้องมีรายรับรายจ่ายใช่ไหม แล้วก็รายรับเท่าไร รายจ่ายเท่าไร แล้วผลได้เท่านี้ใช่ไหม
นี่ก็เหมือนกัน เวลาถ้ามันเป็นความจริง มันจิตเห็นอาการของจิตคือจิตเห็นสติปัฏฐาน ๔ แล้วมันต้องทำบัญชี รายรับรายจ่ายคือวิปัสสนา คือใคร่ครวญๆ ใช้ปัญญาตลอด แล้วมันจะสรุปลงว่ากำไรหรือขาดทุน ถ้าขาดทุน ขาดทุน ทำใหม่ ถ้ากำไรๆ สะสมไว้ แล้วทำต่อเนื่องๆ ไปจนปิดบัญชี ปิดบัญชีนั้นถึงจะเป็นความจริง ถ้ามันเป็นความจริงมันจะมีเหตุผลอย่างนี้
ที่ว่า ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕ แต่ถ้ามันรู้ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕ ด้วยความเห็นอย่างนี้ นี่เรียกว่าธรรมผุด เพราะอะไร เพราะไม่ได้ทำบัญชี ไม่ได้ทำบัญชี ไม่มีรายรับรายจ่ายไง มันขึ้นมาพร้อมกันไง ก็เหมือนพ่อแม่ให้เงินลูก เอาไป แต่ถ้าเราทำงานเองอีกเรื่องหนึ่ง ทำงานเองมันจะมีปัญหาอีกปัญหาหนึ่ง
ฉะนั้นถึงบอกว่า ไอ้ที่ผ่านมาแล้วไม่ได้บอกว่าผิด เพราะอะไร เพราะถ้ามันเกิดขึ้นมาตามความจริงมันผิดตรงไหน แต่อริยสัจมันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ในอริยสัจมันจะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ในอริยสัจมันจะมีขั้นตอนของมัน
ถ้ามีขั้นตอนของมัน ครูบาอาจารย์ที่เป็นจริงเขาจะมีเป็นขั้นเป็นตอน เขาเรียกว่าภูมิ ภูมิของปุถุชน ภูมิของกัลยาณชน ภูมิของโสดาปัตติมรรค ภูมิของโสดาปัตติผล ภูมิของสกิทาคามิมรรค ภูมิของสกิทาคามิผล ภูมิของอนาคามิมรรค ภูมิของอนาคามิผล ภูมิของอรหัตตมรรค ภูมิของอรหัตตผล
ทำไมโสดาปัตติมรรคกับโสดาปัตติผลทำไมคนละภูมิล่ะ
อ้าว! ก็มรรค ๔ ผล ๔ ไง บุคคล ๘ บุคคล ๘ คนละภูมิไง
ฉะนั้น ภูมิของโสดาปัตติมรรคมันไม่รู้เรื่องโสดาปัตติผลหรอก โสดาปัตติมรรคมันพิจารณาจนขาดไปเป็นโสดาปัตติผล มันถึงจะเข้าใจของโสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตตมรรค อรหัตตผล บุคคล ๘
ทำไมถึงไม่ใช่บุคคล ๔ ล่ะ
บุคคล ๘ สี่คู่ นี่ไง เวลาถ้ามันเป็นเหตุเป็นผลนะ
นี่พูดถึง ทำไป อันนี้พูดถึงว่า สิ่งที่ผ่านไปแล้วให้มันผ่านไปแล้ว แล้วอย่างข้อที่ ๑. ทำไมหนักๆ หน่วงๆ
หนักๆ หน่วงๆ เพราะว่ามันไปคลุกเคล้ากับอารมณ์ แล้วเราก็พุทโธชัดๆ ขึ้นมามันก็จะเบาขึ้นมาถ้าเป็นสมาธิ
“โยมถนัดการเดินจงกรม ไม่ถนัดนั่ง นั่งได้แป๊บเดียว”
เดินจงกรมก็ได้ นั่งก็ได้ แต่อดีตอย่าไปผูกพันกับมัน เวลาเราจะเข้าภาวนาในปัจจุบันนี้เท่านั้น แล้วทำปัจจุบันนี้ คือเราต้องการเงินสดๆ ต้องการเงินเข้า เราไม่ต้องการอดีต สิ่งที่อยู่ในบัญชีเก่า ไม่เอา แล้วบัญชีเก่านั่นน่ะมันทำให้เราไปคุ้มครอง พอคุ้มครอง รักษา นั่นน่ะสัญญา แล้วสัญญาทำให้เราละล้าละลังๆ หน้าก็ไม่ได้ หลังก็ไม่ได้ ไม่ได้อะไรเลย
ฉะนั้น เวลาครูบาอาจารย์ท่านให้วาง เวลานอกจากเดินจงกรม นอกจากนั่งสมาธิ ได้ สมบัติเดิมเราต้องเก็บรักษาดูแลให้ดี แต่เวลาเดินจงกรมให้เป็นปัจจุบัน คำว่า “ปัจจุบัน” คือตรงนี้ นี่พูดถึงเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา
“เวลาเดินจงกรม ควรภาวนาแบบไหนจึงจะก้าวหน้าคะ”
เดินจงกรมก็หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธนี่แหละเดินจงกรม แล้วถ้ามันไม่สะดวก ไม่สะดวกก็ใช้ปัญญาอบรมสมาธิ คือความคิดมันเกิดขึ้นมาแล้วเรามีสติปัญญาเท่าทันมัน เท่าทันความคิด ถ้าเท่าทันความคิดนะ เพราะความคิดมันเกิดจากเรา ถ้ามีสติเป็นธรรมนะ มันจะเท่าทันความคิด
เพราะสมบัติบ้า คิดแล้วคิดเล่า คิดซ้ำคิดซาก คิดแต่เรื่องเดิมๆ ไอ้ที่ควรจะคิดมันก็ไม่คิด ไอ้ที่ไม่อยากให้คิดมันก็จะคิด ถ้าปัญญามันทันนะ มันอายไง ไหนว่ามึงฉลาด มึงโง่กว่ากิเลส นี่คือปัญญาอบรมสมาธิ นี่พูดถึงว่าข้อ ๓.
“ข้อ ๔. เมื่อถึงเวลาจะตาย เวทนาจะกล้ามาก จะทำอย่างไรจึงจะไม่ให้ลืมสภาวธรรมว่าขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕”
นี่ไง เราถึงบอกว่า เวลาจวนจะตายเวทนามันแก่กล้าแน่นอน
“แล้วทำอย่างไรจะไม่ให้ลืมสภาวธรรม”
ถ้ามันเป็นความจริงนะ มันไม่มีลืมและไม่มีจำ ถ้าเป็นความจริง ความจริงคืออริยสัจ อกุปปธรรม ไม่มีการเปลี่ยนแปลง คงที่ตายตัว อกุปปธรรม โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี พระอรหันต์ จะเป็นอกุปปธรรม อกุปปธรรมไม่ใช่สมาธิ
สมาธิเจริญแล้วเสื่อม ความคิดของคนเดี๋ยวก็จำแม่น เดี๋ยวก็ลืม ทุกอย่างเจริญแล้วเสื่อมหมด ถ้าเจริญแล้วเสื่อม ภาษาเราว่าไม่ผิด ผ่านไป ไอ้ที่ทำมาแล้วมันก็เป็นคุณประโยชน์ของเรา เป็นคุณงามความดีของเรา เป็นประสบการณ์ของเรา ประสบการณ์ของเรา ธรรมมันเกิดขึ้น ธรรมเกิดขึ้นคือสูตรสำเร็จ สำเร็จรูป เราไม่ได้ก่อเนื้อสร้างตัวขึ้นมา
เราก่อเนื้อสร้างตัวขึ้นมาจนสำเร็จเป็นผลงานของเราแล้ว จบ เป็นอกุปปธรรม เวลาจะเป็นจะตายมันอยู่กับเราตลอด ไม่มีลืมและไม่มีจำ ถ้ามีลืมมีจำ เป็นสัญญา เป็นโลก
แต่ถ้าเป็นโสดาบัน เป็นสกิทาคามี เป็นอนาคามี ไม่มีลืมและไม่มีจำ คงที่ตายตัว แล้วมีคุณสมบัติด้วย ถ้าเป็นโสดาบันไม่สีลัพพตปรามาส ไม่ลูบไม่คลำ ถ้าเป็นสกิทาคามีมันลึกกว่าโสดาบัน แล้วถ้าเป็นอนาคามีไม่เกิดในกามภพ คือไม่เกิดตั้งแต่เทวดาลงมาแล้ว มันรู้ในใจของมันเลย
เพราะหลวงตาตอนที่ท่านไปอยู่หนองผือ มันเสวยแล้วมันปล่อย มันเสวยแล้วปล่อย “เอ๊ะ! อย่างนี้ไม่ใช่พระอรหันต์หรือ” แล้วท่านเจ็บอก ท่านจะตายนะ ถ้าตายก็เกิดบนพรหม รู้ชัดเจน ไม่มีลืมและไม่มีจำ
จำก็ไม่มี จำเป็นความจำ ลืมคือมันไม่มีอยู่จริง แต่ถ้าเป็นอริยบุคคลแล้ว ไม่มีลืมและไม่มีจำ มันเป็นโดยตัวของมันเอง ปัจจุบันตลอดตามแต่ขั้นภูมิ แล้วคุณสมบัติมันแสดงออก เช่น หลวงปู่ลี
หลวงปู่ลีนะ หลวงตาไม่ต้องสั่ง ท่านรู้ว่าทำเต็มที่ หลวงปู่ลี มันเป็นคุณสมบัติในตัวของมันเอง มันมีคุณธรรมในตัวของมัน คุณธรรมอันนั้นมันอยู่ในใจ คุณธรรมอันนั้นเป็นธรรม เอโก ธมฺโม เอก ไม่มีลืมและไม่มีจำ มันไม่มีจำ ไม่มี ปัจจุบันตลอด แล้วมันจะมีอะไรล่ะ นี่ธรรมแท้ๆ แล้วมันจะแสดงออกมาโดยพฤติกรรม โดยกิริยาของบุคคลคนนั้น บุคคลคนนั้นจริงไม่จริงดูแค่นี้ ถ้ามันเป็นความจริงนี้คือความจริง นี้คือสัจธรรม
ฉะนั้น สิ่งที่ว่าถ้าใกล้ตาย เราก็อยู่กับพุทโธ อยู่กับพระของเรา อยู่กับพุทโธของเรา แล้วสิ่งที่มันผ่านไปแล้วอันนั้นเป็นธรรมที่มันเกิดกับเรา เป็นการให้เราศรัทธามั่นคง นี่เขาเรียกว่าอจลศรัทธา คือศรัทธามั่นคงในสัจธรรม เพราะมันเกิดกับกูเอง มันรู้เอง แต่ถ้ามันจะเป็นคุณธรรมนะ มันจะมีเหตุมีผล แล้วมันจะชัดเจน ชัดเจนในตัวมันเอง จบ
ถาม : เรื่อง “วิปัสสนูปกิเลส”
ผมมีความรู้สึกว่าน่าจะไม่ถูก (มิจฉาทิฏฐิ) อยากจะแก้ แต่มันคล้ายมีกำลังไม่พอ จึงขอความกรุณาช่วยแก้ไขด้วยครับ ปัญหามีดังนี้
๑. มีความคิดเสมอว่า การฝึกฝนตนนั้นจะให้ผลน้อยถ้าไม่สลัดทิ้งสิ่งแวดล้อม กลุ่มสังคม รวมทั้งวิถีชีวิตแบบเดิมๆ แต่ยังหวาดกลัวการเปลี่ยนชีวิต คือจะรู้ได้อย่างไรว่าถ้าถึงเวลาสละแล้ว อายุผมก็ ๖๐ กว่าแล้ว อ่านก็มาก ทำมาก็มากแล้ว
๒. หลังทำความสงบก็จะติดความเพลินคือ คอยจะฟุ้งธรรม คิดแต่เรื่องคำสอนของพระพุทธเจ้า ตัดปะ ต่อกันเป็นชั่วโมงๆ ปรุงแต่เรื่องคำสอน
๓. ใจผมคิดแต่มีมานะ อหังการ อวดดี ฟังผู้อื่นสอนธรรม จะคอยคิดแต่โต้แย้ง แต่ครูบาอาจารย์ก็ยังมีความยำเกรงอยู่ครับ หลวงพ่อเคยตอบปัญหาผมว่า คนอย่างมึงพูดโม้ได้ทั้งวัน
ผมเข้าใจอย่างไม่มีข้อสงสัยเลย ในเพศฆราวาสผมไม่มีทางจะละความเป็นเรา ของเรา และตัวตนของเรา หลวงพ่อช่วยแนะตัวดัชนีชี้วัดด้วยครับ ขอกราบขอบพระคุณ
ตอบ : อันนี้พูดถึงนะ บอกว่าเขาจะเปลี่ยนแปลงชีวิต จะทิ้งสถานะเดิม สละออกไปบวช ว่าอย่างนั้นเถอะ เพราะนี่ ๖๐ แล้ว แล้วเราจะมีอำนาจวาสนาหรือไม่
ถ้าเราจะมีอำนาจวาสนา เห็นไหม วาสนาของคน วาสนาของคนนะ ถ้าคนมีวาสนามันมีคุณค่าเข้ามาในใจของตน ถ้ามีคุณค่าเข้ามาในใจของตน สิ่งที่เสียสละๆ เวลาเสียสละแล้วเวลากิเลสมันไล่ตามมาๆ มันน่าสะเทือนใจนะ
คนมันอยู่ที่วาสนาจริงๆ เช่น หลวงปู่พรหม ประวัติหลวงปู่พรหม ประวัติหลวงปู่พรหมนะ ท่านมีภรรยา ตัวท่านกับตัวภรรยาท่านมีอยู่สองคน เป็นเศรษฐีเหมือนกัน มีเงินมีทองมาก แต่ไม่มีบุตร ก็มาคุยกันเองไง มาคุยกันสองคนว่า เราก็ไม่มีบุตร เราจะมานั่งเฝ้าทรัพย์สมบัติอยู่ทำไม
อ้าว! คุยกัน เจรจากัน ประชุมกันตลอด จนตัดสินใจว่าจะออกบวชด้วยกัน แล้วจะออกบวชก็ไปเจอพระธุดงค์ไง พระธุดงค์มาข้างบ้าน ไปอุปัฏฐากพระธุดงค์ ฟังธรรมๆ ด้วย ฟังธรรมแล้วมันก็มั่นคงมั่นใจของเราว่าจะบวชๆ จะออกบวช เพราะเราจะไม่เป็นขี้ข้ามาเฝ้าทรัพย์สมบัติให้ใครทั้งสิ้น ถ้าไม่มาเฝ้าทรัพย์สมบัติให้ใครทั้งสิ้น ก็ตกลงเจรจากัน
เวลาเจรจากันแล้ว ตกลงว่า อ้าว! ฉะนั้น เราจะออกไปทั้งคู่ ออกไปทั้งคู่ ทรัพย์สมบัตินี้แจกก่อน แจกเขาให้หมด แจกเขาให้หมด เวลาแจกไปเรื่อยๆ แจกไปเรื่อยๆ แล้วเป็นห่วงเป็นใย ก็ให้ภรรยาออกบวชก่อน เป็นแม่ชีไปก่อน
พอให้ภรรยาออกบวชเป็นแม่ชีไปก่อนนะ แล้วก็แจกไปๆ ก็เหลือบ้านไว้หลังหนึ่ง จะเหลือที่ไว้ผืนหนึ่ง เผื่อภรรยาบวชเป็นชีแล้วถ้าอยู่ไม่ได้ ออกมาก็ยังจะมีบ้านหลังนี้ไว้เพื่อให้ภรรยามีที่พัก
แล้วก็ดูเวลาๆ ดูเวลาจนว่าแม่ชีมั่นคงแล้ว ทรัพย์สมบัติแจกหมดเลย แจกเสร็จแล้วตัวท่านเองก็ไปบวช พอบวชไปแล้ว ๒ ปี ๓ ปีนะ มันคิดจะสึก คิดว่า เอ๊! แล้วถ้าสึกไปจะไปหาทรัพย์สมบัติ ทรัพย์สมบัติมากมายมหาศาลแจกหมด
เดี๋ยวไปเอาในตู้นะ ประวัติหลวงปู่พรหม เดี๋ยวจะหาว่าพระสงบโม้ นี่เอาประวัติหลวงปู่พรหมมาพูด อยู่ในตู้นี่ประวัติหลวงปู่พรหม
เวลาแจกๆๆ ไปแล้ว แจกไปแล้วตัวเองก็ออกบวชใช่ไหม ออกบวชไป ๒-๓ พรรษาคิดจะสึกนะ พอคิดจะสึกแล้วต้องมาเริ่มต้นกันใหม่น่ะสิ แต่สุดท้ายแล้วก็มีครูบาอาจารย์แก้
เวลาภาวนาไปๆ เวลาภาวนาไปนะ ขนาดทุ่มเทขนาดนั้นนะ ทุ่มเทขนาดนั้น เวลาบวชไปแล้วกิเลสมันพลิกมันแพลง กิเลสคือความรู้สึกความตระหนี่ถี่เหนียว ความรู้สึกความในใจของคนมันพลิกมันแพลง มันเปลี่ยนมันแปลง มันกะล่อนทั้งนั้นน่ะ นี่ประวัติหลวงปู่พรหม
แต่สุดท้ายแล้วท่านมีครูบาอาจารย์ที่ดี มีหลวงปู่มั่น หลวงปู่พรหมไปหาหลวงปู่มั่นครั้งแรกที่เชียงใหม่ ท่านมีประสบการณ์ในการเป็นพ่อค้ามาก่อน พอไปเห็นหลวงปู่มั่นครั้งแรก โอ้โฮ! ชื่อเสียงคับประเทศไทย ตัวเล็กๆ
เวลาเข้าไปกราบหลวงปู่มั่นน่ะ “มองคนอย่ามองภายนอก”
โอ้โฮ! หลวงปู่พรหมนี่สะดุ้งเลย
มองคนอย่ามองรูปลักษณ์ภายนอก คุณค่าของคนมันอยู่ที่คุณธรรมในใจนั้น ไปหาหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นบ่มเพาะเป่ากระหม่อมมา หลวงปู่พรหมเป็นพระอรหันต์
อันนี้มันมีประวัติครูบาอาจารย์ของเราทุ่มเทมาขนาดนั้น ประวัติครูบาอาจารย์ทุ่มเทมาขนาดนั้นน่ะ กิเลสมันยังเที่ยวตอด เที่ยวหยอก เที่ยวล่อในหัวใจของคน คนเรา
ขนาดนี่พระอรหันต์นะ หลวงปู่พรหมเป็นพระอรหันต์ เพราะหลวงตาท่านยืนยัน แล้วกระดูกท่านก็เป็นพระธาตุหมด นี่พระอรหันต์นะ นี่ประวัติพระอรหันต์ แต่ประวัติพระอรหันต์กว่าจะผ่านวิกฤติมา มันผ่านวิกฤติมาอย่างไร
แล้วนี่ก็เหมือนกัน กลับมาที่คำถาม “แล้วผมจะทำอย่างไร ผมควรจะทำอย่างไร”
มันอยู่ที่วาสนา ถ้าวาสนาของเรา ถ้าเราจะเปลี่ยนวิถีชีวิต เปลี่ยนสังคม เสียสละออกไปแล้วมันจะไปรอดหรือไปไม่รอด
มันก็อยู่ที่วาสนาของคน วาสนาของคน เพราะอะไร เพราะเราอยู่ในหมู่ เห็นมามาก พระบวชแล้วสึก พระสึกแล้วบวช เราเห็นมาเยอะมาก ฉะนั้น มันเป็นสิทธิของบุคคล
เวลาจะบวชจะสึกมันทุกข์มันยากของมัน เวลากิเลสมันรุมล้อมนะ นอนนี่นอนหัวจมเลย ทำอะไรไม่ได้เลย
เวลาทางโลก พระจะสึก สุภาพสตรีจะคลอดบุตร ห้ามไม่ได้ ห้ามไม่ได้
อันนี้มันอยู่ที่วาสนา อยู่ที่วาสนาของคนนะ เราอยู่ในกลุ่มของหมู่เพื่อนเห็นเขาสึกเขาบวชกันอยู่ แต่เราไม่เคยคิดจะสึกเลย ไม่เคย ไม่เคยคิดว่าจะสึกเลย ไม่เคย เพราะกูหนีโลกมา โลกวุ่นวายหนอ โลกสับสน โลกเห็นแก่ตัว
เรามีพรรคมีพวก มันมีเพื่อน เราคบเพื่อนมาเยอะ เห็นแก่ตัว เพราะอะไร เพราะภาษากลุ่มเพื่อนนะ เราเสียสละเต็มที่ รักนี้รักเต็มที่ แต่ไม่เคยได้รับผลดีกลับมาเลย
บวชแล้วไม่คิดจะสึกเลย ไม่เคยเลย แต่เคยฝันว่าสึก ฝันว่าสึกนะ ตกใจตื่นขึ้นมารีบ อ๋อ! ฝันไป ยังอยู่ ยังไม่ได้สึก นึกว่าสึกไปแล้ว ฝันว่าสึกไปเที่ยวกับเพื่อนนะ พอตื่นขึ้นมา เฮ้ย! กูยังเป็นพระอยู่เว้ย ตื่นมารีบจับเลย อ๋อ! ยังอยู่ๆ
ไม่เคยคิดจะสึก ไม่เคยเลย พูดนี้ไม่ใช่อวด พูดถึงวาสนาของคน พูดถึงความคิดของคน ความคิดคุมไม่ได้นะ ความคิดของคนมันผุดขึ้นมาไม่มีใครทันมันหรอก จิตใต้สำนึก โอ้โฮ! มันกรรมเลวร้ายมาก
ตอนนี้มีลูกศิษย์มาหาเยอะมาก “มันผุดมาเอง หลวงพ่อ มาผุดขึ้นมาเอง หลวงพ่อ มันผุดขึ้นมาเอง”
นี่ไง กรรมไง กรรม เยอะแยะ ไม่ใช่คนเดียว เยอะแยะ มันผุดขึ้นมา แล้วใครจะไปคุมมัน นี่พูดให้เห็นไง
แต่เราไม่เคยคิดจะสึก ขอยกหางนิดหนึ่ง แต่เคยฝัน เคยฝันสองหนสามหน ฝันว่าสึกนะ แปลก พอฝันว่าสึก สะดุ้งตื่นเลยนะ รีบจับเลย อ๋อ! ยังอยู่ๆ ยังไม่ได้ไป แต่คิดว่าจะสึก ไม่มี ไม่เคยเลย อันนี้พูดถึงข้อที่ ๑.
“๒. หลังจากทำความสงบก็จะคิดเพลินแต่ฟุ้งธรรม คิดแต่คำสอนของพระพุทธเจ้า ตัดแปะ ต่อกันเป็นชั่วโมงๆ ปรุงแต่งแต่เรื่องคำสอน”
ไอ้นี่มันก็เป็นวาสนาของคนนะ ถ้าพูดภาษาเรานะ ถ้าเป็นทางโลก อย่างนี้ก็ถือว่าบุญนะ คิดเรื่องคำสอน ฟุ้งเรื่องในธรรมดีกว่าไปฟุ้งเรื่องทางโลก ดีกว่าไปฟุ้งเรื่องกิเลส ฟุ้งเรื่องแต่จะเอาชนะคะคานคนอื่น
ถ้าพูดถึงเปรียบเทียบกับโลก นี่บุญนะ แต่ถ้าพูดถึงการปฏิบัติ อันนี้กิเลส
เห็นไหม วุฒิภาวะเป็นชั้นๆ ขึ้นมา จากคนที่ไม่ศรัทธาให้มาศรัทธา จากคนที่ศรัทธาจะปฏิบัติอย่างไร คนที่ปฏิบัติจะปฏิบัติได้หรือปฏิบัติไม่ได้ ถ้าปฏิบัติสูงขึ้นไปไง
นี่ก็เหมือนกัน ถ้าพูดถึงว่าฟุ้งในธรรมๆ ฟุ้งในธรรมเข้าไปในสังคมพระปฏิบัติด้วยกัน สังคมนักปฏิบัติคุยอวดเขาได้เลย ฟุ้งได้เต็มที่เลย เขาต้องฟังเราด้วย เพราะอะไร เพราะเขาฟุ้งไม่ได้อย่างเราไง เขาไม่ได้ขี้โม้อย่างเรา เราขี้โม้ ถ้าเป็นทางโลก ดีกว่าฟุ้งเรื่องกิเลส
แต่ถ้าเป็นทางปฏิบัติ นี่คือสัญญา นี่คือลูกตุ้มถ่วงหัวใจทำให้หัวใจไม่พัฒนาขึ้น นี่มันเป็นชั้นๆ ของมัน เป็นขั้นๆ ของมัน วุฒิภาวะเป็นชั้นๆ ขึ้นไป
ถ้าอย่างนี้แล้วถ้าบอกว่านี่เป็นการตัดแปะ เอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาตัดแปะใจเราไง
ถ้ามันอย่างนั้นเรารู้ตัวแล้วเราก็พัฒนาของเรา เราแก้ไขของเรา ถ้าเราแก้ไขของเรา เราทำให้ดีขึ้น คือว่าเราจะมาปฏิบัติของเรา
“๓. ในใจมีแต่มานะ อหังการ อวดดี ฟังคำสอนของคนอื่นไม่ได้ โต้แย้งเขาตลอด”
คนมีปัญญาก็เรื่องของคนมีปัญญานะ คนมีปัญญาคือไม่เชื่อใครง่ายๆ แต่คนมีปัญญามันก็ต้องมีสติรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน โดยนักปราชญ์ การฟังดีกว่าการพูด การฟังเราได้ประโยชน์ทั้งสิ้น การพูดมีแต่เปิดอกให้เขาดู คนจะโง่ฉลาดเขาดูที่การพูดการจา ถ้าพูดจาโง่เง่าเต่าตุ่นมันจะฉลาดได้อย่างไร
คนที่ฉลาดเขาจะพูดด้วยเหตุด้วยผล คนที่ฉลาดเขาจะเงี่ยหูฟังแล้วเขาจะตัดสินได้ว่าคนนั้นโง่หรือฉลาด ถ้าคนฉลาดจะไม่พูดโง่ๆ อย่างนี้ คนฉลาดเขาต้องพูดแต่เป็นเหตุเป็นผล
ถ้าคนมีแต่อวดดีมันพูดแต่โง่ๆ แต่มันคิดว่าฉลาดไง คนโง่ชอบอวดฉลาด
คนฉลาดเขาชอบฟัง ชอบฟังเพื่อเสริมสติปัญญาพัฒนาตนเองขึ้นมาให้เป็นผู้ที่ฉลาดด้วยเหตุด้วยผล นี่พูดถึงว่าถ้ามีสติปัญญาเป็นอย่างนี้ไง นี่พูดถึงว่าถ้ามันเป็นจริงๆ มันก็เป็นจริงอย่างนี้ไง
นี่เขาบอกไง “หลวงพ่อเคยตอบปัญหาผม คนอย่างมึงโม้ได้ทั้งวัน”
โม้ได้ทั้งวันก็ตอนที่เขียนปัญหามาถามนี่แหละ คำถามวนไปวนมา ถามปัญหานี่นะ ครั้งสองครั้งจับได้แล้ว ถ้าครั้งนี้มานะ หนึ่งบวกหนึ่งเป็นสอง ครั้งที่สามนะ แปดบวกแปดเป็นยี่สิบ ครั้งที่สองคูณด้วยร้อยคูณด้วยพัน เออ! อย่างนี้ตอบแล้วสนุก
หนึ่งบวกหนึ่งเป็นสอง ศูนย์บวกศูนย์เป็นเท่าไร แล้วศูนย์ไม่มีเลย
โอย! ปัญหานี้ อ่านปัญหามันจะรู้เลยว่าสูงหรือต่ำลง ถ้ามันวนอยู่กับที่ แสดงว่ามึงย่ำอยู่กับที่ ไร้สาระ ถ้ามันดีขึ้นมันก็จะพัฒนาขึ้น
เพราะมันวนอยู่กับที่นะ จบแล้ว ไอ้นี่คือมารยาสาไถย แล้วเราก็จะมาเยินยอกันอยู่อย่างนี้ใช่ไหม สำนักปฏิบัติต้องโต้แย้งธรรมะกันเพื่ออวดคนอื่นหรือ
หุบปากซะ หุบปากแล้วนั่งลงนั่นน่ะของจริง ถ้าจะมาโต้แย้งกันอยู่อย่างนั้นมันไม่เป็นประโยชน์ไง
เขาบอก “หลวงพ่อเคยตอบปัญหาผมไง คนอย่างมึงพูดโม้ได้ทั้งวัน”
ได้ห้าวันด้วย ได้เดือนหนึ่ง ได้ปีหนึ่งเลย หุบปากซะ ดีหรือชั่วเรารู้ของเรา นี่พระกรรมฐานนะ
ภาษาเรา เราเป็นหัวหน้าเท่านั้น ถ้าเราไม่เป็นหัวหน้านะ กูอยากอยู่คนเดียว จริงๆ อยู่คนเดียวนี่สุขมาก แต่นี้เป็นหน้าที่
พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สัจธรรมไม่มีใครแสดงออก แล้วสัจธรรมมันคืออะไร
ที่ทำอยู่นี้เพื่อให้สัจธรรมมันชัดเจนขึ้นมาเท่านั้นเอง เพื่อสัจธรรม ไม่ใช่เพื่อใครทั้งสิ้น
แต่ถ้าไม่ใช่หน้าที่นะ เดี๋ยวพอโยมกลับแล้วนะ พอเรากลับกุฏิแล้วนะ ใครพบเราไม่ได้เลย กติกาของเราคือไม่มีใครพบเราได้ เฉพาะตรงนี้เท่านั้น วันๆ หนึ่งเราพูดกับโยมแค่นี้ แล้วก็ฉันน้ำร้อนกับพระ อย่างอื่นใครพบเราไม่ได้ ถ้าเป็นความจริง ไม่มีใครพบเราได้เลย
นี่พูดถึงจะไปอวดใคร จะไปอวดใคร
นี่ไง ไอ้คนโง่มันชอบพูดชอบอวด คนจริงเขาชอบฟัง นี่พูดถึงเอาสัจจะเอาความจริงนะ
ฉะนั้น สิ่งที่ว่ามันเป็นวาสนานะ ว่าเขาจะมีอำนาจวาสนาหรือไม่ หลวงพ่อคอยชี้ทาง
เวลาเอ็งไปสุขไปทุกข์เป็นชีวิตของเอ็งนะ ใครถ้ามีสติปัญญามากน้อยแค่ไหนแล้วเลือกเส้นทางของต้น ถ้าเลือกเส้นทางของตนแล้วต้องสู้ แล้วถ้าสู้ เราถึงส่วนใหญ่เรื่องนี้เราไม่ค่อยพูด เพราะชีวิตของคนเป็นสิทธิ์ของผู้นั้น ผู้นั้นจะมั่นคงมากน้อยแค่ไหนเป็นสิทธิ์ของเขา
แล้วถ้าเวลาสิทธิ์ของเขาแล้ว ถ้าออกไปเผชิญแล้วนะ ภาษาเราเลยนะ ทุกข์แน่นอน พระนี่ทุกข์แน่นอน เวลากิเลสมันฟื้นมา กิเลสมันเหยียบ โอ้โฮ! โคตรทุกข์เลยล่ะ หลวงตาร้องไห้เลย แต่หลวงตาท่านก็ชนะกิเลสมาเป็นพระอรหันต์เหมือนกัน
พระอรหันต์แต่ละองค์ๆ ท่านผ่านวิกฤติ ผ่านอุปสรรค ผ่านมาทุกอย่าง ท่านถึงเป็นพระอรหันต์ ไม่ใช่นอนตื่นขึ้นมาแล้วพระอรหันต์ ทำอะไรก็เป็นพระอรหันต์ ไอ้นั่นคนโง่ชอบคุย แต่ถ้าเป็นของจริงนะ ของจริงจะเป็นแบบนั้น
ฉะนั้น มันเป็นวาสนาของผู้ถาม ถ้ามีวาสนา แล้วถ้าจริงจัง แต่พูดได้เลย ทุกข์แน่นอน เพราะอะไร เพราะปัจจุบันนี้กิเลสมันยังไม่โดนขังคุกเลย เอ็งยังคิดอย่างนี้ แล้วถ้าพอบวชมาแล้วมันขังคุกแล้วนะ เพราะเป็นพระมีศีล ๒๒๗ ไปไหนก็ไม่ได้นะ มันอยู่ในกรงขังนะ โอ้โฮ! ยิ่งทุกข์เข้าไปใหญ่เลย จะนั่งสมาธิแล้วยิ่งทุกข์เข้าไปใหญ่เลย
ทุกข์แน่นอน ก่อนที่จะสุขมันต้องผ่านทุกข์ก่อน ก่อนที่จะรู้ความจริงมันต้องเผชิญกับความจริงก่อน นี่คือสัจจะ นี่คือความจริง นักสู้ต้องเป็นแบบนี้ ผู้ปฏิบัติต้องเป็นแบบนี้ จบ
ถาม : เรื่อง “ถือบวชเป็นแม่ชีแล้ว จำเป็นต้องสมาทานศีลทุกวันอีกหรือไม่”
กราบเรียนนมัสการหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ขอโอกาสถามเพื่อความกระจ่างในการปฏิบัติดังนี้
๑. ถือบวชเป็นแม่ชีแล้ว เราจำเป็นต้องสมาทานศีล ๘ ทุกวันหรือไม่ เห็นเพื่อนแม่ชีด้วยกันมักจะสมาทานศีล ๘ ก่อนสวดมนต์ทำวัตรเย็นเสมอ ดังนี้เป็นการถูกต้องหรือไม่
ก็ในเมื่อครั้งที่ขอบวชชี ขอถือไตรสรณคมณ์ สมาทานศีล ๘ ครบถ้วนแล้วก็หมายความว่า นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปจะเพียรพยายามระวังรักษาศีลทั้ง ๘ ข้อนั้นไม่ให้ขาด ไม่ให้ทำลาย ไม่ให้ด่าง ไม่ให้ทะลุ ทั้งกาย วาจา ใจ เช่นนี้แล้วยังจำเป็นต้องมาสมาทานขอรักษาศีลพรหมจรรย์อยู่ทุกๆ วันอีก
ก็หมายความว่า เราเริ่มเพียรระวังรักษาศีลทั้ง ๘ ข้อนั้นใหม่อีก เพราะตลอดวันที่ผ่านมาอาจทำให้ศีลตัวเองขาด ศีลมัวหมอง ศีลด่างพร้อย แล้วมันจะเป็นบุญเป็นกุศลหรือไม่คะ
ขอความเมตตาท่านพระอาจารย์โปรดให้ความกระจ่างด้วย เพื่อการปฏิบัติให้ถูกต้อง ตรงทางต่อไป
๒. ตามปกติพระสงฆ์ท่านลงอุโบสถและปลงอาบัติทุกๆ ๑๕ ค่ำ แล้วถ้าแม่ชีจะขอสมาทานศีลทุกๆ ๑๕ ค่ำได้หรือไม่คะ
๓. แม่ชี ชีพราหมณ์ อุบาสก อุบาสิกา ผู้มาถือศีลปฏิบัติธรรมที่วัดในระยะสั้นๆ ถือเป็นนักบวช เป็นอนาคาริกเหมือนพระภิกษุสงฆ์หรือไม่
เวลาทำวัตรเช้า สำหรับพระภิกษุและสามเณรท่านจะมีการสวดกล่าวปฏิญาณตนว่า จิรปรินิพฺพุตมฺปิ ตํ ภควนฺตํ อุทฺทิสฺส อรหนฺตํ สมฺมาสมฺพุทฺธํ
กรณีแม่ชีหรือชีพราหมณ์ผู้มีศรัทธาออกบวชจากเรือน ไม่เกี่ยวข้องด้วยเรือนแล้ว (เป็นอนาคาริกแล้ว แต่บางคนบวชเพียงระยะสั้น ๗ วัน ๑๕ วัน หรือบวชเป็นชีในช่วงเข้าพรรษา) ควรจะกล่าวปฏิญาณตนเหมือนพระภิกษุ สามเณร หรือสวดมนต์อุบาสก อุบาสิกากล่าวจึงจะถูกต้อง ขอท่านอาจารย์โปรดให้คำแนะนำในการปฏิบัติที่ถูกต้องด้วย ขอบพระคุณอย่างยิ่ง
ตอบ : อันนี้มันอยู่ที่วาสนานะ วาสนาเพราะอะไร เพราะการออกบวชใหม่ๆ มันจะแบบว่าจับต้นชนปลายไม่ถูกเพราะเราไม่มีประสบการณ์ใช่ไหม แล้วเราไปอยู่ในสังคมใด สังคมใดประพฤติปฏิบัติอย่างไร เราก็คิดว่าสังคมนั้นประพฤติปฏิบัติถูก
เวลาเราบวชใหม่ๆ เรื่องอย่างนี้เราสับสนมากเลย สับสนว่า หนึ่ง เพราะเรามาแบบคนมืดบอด เรามาแบบไม่รู้อะไรเลย แล้วก็มีครูบาอาจารย์เยอะแยะ ครูบาอาจารย์ก็สอนร้อยแปดพันเก้า ถามเสือตอบม้า ไปไหนมา สามวาสองศอก วุ่นวายๆ วุ่นวายมาก
สุดท้ายแล้วนะ เราก็ปฏิบัติของเราแบบไม่มีครูบาอาจารย์ ยังไม่ได้เข้าไปหาครูบาอาจารย์ไง เพราะอยากจะฝึกตนให้ทำอะไรให้ได้เป็นก่อน เขาเรียกขอนิสัยๆ ขอให้มันมีนิสัยเป็นสมณะบ้าง ให้รู้จักประเพณีวัฒนธรรมของชาวพุทธก่อน แล้วค่อยไปหาครูบาอาจารย์ไง
แล้วไปเห็น พอไปเห็นอะไร เพราะด้อยด้วยวุฒิภาวะ ด้อยด้วยประสบการณ์ เห็นเขาพูดอะไรแล้วเชื่อๆ อู้ฮู! ยิ่งพระพูดยิ่งเชื่อ ยิ่งพระห่มผ้าดำๆ พูด แหม! มันขลัง ไปไหนมา สามวาสองศอก ถามช้าง ตอบม้า ไม่มีใครรู้จริงสักคน วุ่นวายน่าดูเลย
แล้วพอไปอยู่ทางภาคอีสาน ไปอยู่กับครูบาอาจารย์ไง เวลาครูบาอาจารย์นะ เวลาพูดถึงว่าศีล ๕ ศีล ๕ เวลาสับสนปนเป ภาคกลาง พวกเกจิอาจารย์ พวกประเพณีวัฒนธรรม เถียงกันเลย วัดนู้นดีกว่าวัดนี้ พิธีกรรมนู้นดีกว่าพิธีกรรมนี้ สังฆทานกูดีกว่าสังฆทานมึง มึงผิด กูถูก...บ้า
พอเราขึ้นไปภาคอีสานไปเจอครูบาอาจารย์ หลวงปู่ฝั้น ศีล ๕ ศีล ๕ มันมีอยู่โดยมนุษย์โดยสัญชาตญาณ ศีล ๕ คือหัว ๑ แขน ๒ เท้า ๒ คือศีล ๕ ศีล ๕ จะไปขอจากใคร นี่เวลาครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมท่านพูดจากธรรมนะ
จริงๆ แล้วเอ็งไปขอพระ พระให้ศีลเอ็งได้หรือ ไปขอพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้ายังให้เอ็งไม่ได้เลย ไปหาหลวงตา หลวงตาท่านพูดเลย “ไปขอศีล ๕ มันได้ศูนย์ ๕ ขอศีล ๘ มันได้ศูนย์ ๘ มันได้แต่ศูนย์ มันไม่เคยได้ศีลเลย”
ศีลมันเกิดจากการประพฤติปฏิบัติ ศีลมันจะเกิดจากการกระทำ ศีลไม่ใช่เกิดจากการขอ
เราไปขอศีล ๕ ปาณาติปาตา ไม่ฆ่าสัตว์ แล้วมึงตบยุงปั๊บ เอ็งว่าศีล ๕ มึงอยู่ไหม มึงไปขอศีล ๕ มา แล้วยุงกัด นี่ศีล ๕ เพราะกูไม่ปั๊บไง ถ้ากูตบปั๊บ ก็มึงฆ่าสัตว์
ศีล ๕ มันอยู่ที่เราไม่ทำ เราไม่ทำผิดศีล ๕ ศีล ๕ มันอยู่ที่เรา ศีล ๕ มีอยู่แล้ว
แล้วเวลาศีล ๕ เวลาเราอยู่กับครูบาอาจารย์ไง หลวงปู่ฝั้นท่านบอกเลย ศีล ๕ มันมีอยู่กับมนุษย์โดยธรรมชาติ ศีรษะ ๑ แขน ๒ เท้า ๒ คือศีล ๕
แต่มันอย่างว่า การปกครอง การปกครอง เรื่องของสังคม เรื่องประเพณีวัฒนธรรมไง เวลาประเพณีวัฒนธรรม ไอ้ศาสนพิธี เวลาพิธี เวลาเถรสมาคมหรือครูบาอาจารย์ที่ท่านฉลาด ท่านก็ไปศึกษาพระไตรปิฎกมา แล้วก็มาเขียนเป็นตำราไว้ไง เป็นศาสนพิธีก็เป็นพิธีกรรมไง
เวลาเป็นพิธีกรรม เวลาขอศีลๆ อาราธนาศีล จะทำอะไรก็ต้องสะอาดบริสุทธิ์ก่อน แล้วก็คิดไง อยากเป็นพระที่ดี อยากจะเป็นอุบาสกที่ดี จะทำบุญกุศลก็ต้องสะอาดก่อน ก็ต้องสะอาดก่อน
แล้วสะอาดอย่างไร เข้าห้องน้ำอาบน้ำหรือ
ถ้าสะอาดก่อนก็ต้องมีศีล ๕ ไง ถ้ายังไม่มีศีล ๕ ก็อาราธนาศีลก่อน อาราธนาศีลก่อน พออาราธนาศีลก่อน พระก็ให้ศีล โอ๋ย! สะอาด สะอาดแล้วก็ทำบุญได้โดยความสะอาด ได้บุญเยอะไง ศีล ๕ โดยการอาราธนาศีล
แต่พระกรรมฐานเราเขาเรียกว่าวิรัติ วิรัติ ไม่ต้องขอจากใครทั้งสิ้น อยากจะถือศีลนึกศีลเดี๋ยวนี้ ศีล ๘ ก็ได้ ศีลอะไรก็ได้ นึกเลย แต่เวลาถ้าเป็นพระนี่ไม่ได้ พระศีล ๒๒๗ ต้องมีอุปัชฌาย์ยกเข้าหมู่ นั่นศีล ๒๒๗
ศีลน่ะนึกได้เลย ศีลนึกเอาได้เลย นี้คือวิรัติศีล วิรัติเอา วิรัติขึ้นมาเลย ถ้าเราอยากถือศีล ๕ เราก็วิรัติให้เราจะถือศีล ๕ เราตั้งสัจจะไง วิรัติคือตั้งสัจจะว่าจะทำ แล้วถ้าศีลมันขาด เราก็วิรัติเอา นี้ถ้าเป็นลูกศิษย์กรรมฐานเขาทำกันอย่างนี้
แต่ศาสนพิธีนะ พิธีการอาราธนาศีลก็ถูกนะ พิธีอาราธนาศีลมันเป็นวัฒนธรรมของชาวพุทธ ถ้าชาวพุทธไม่มีประเพณีวัฒนธรรม จะเป็นพุทธขึ้นมาได้อย่างไร
เวลาเขาบอกว่า พวกนี้ประเทศไทยนับถือพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาคือสอนอะไร พระพุทธศาสนาสอนอะไร
นี่ก็เป็นประเพณีของชาวพุทธคืออาราธนาศีล ศีล ๕ ศีล ๘ แต่พระกรรมฐานเราไม่ได้มาอวดว่าใครมีศีล ใครสะอาด ใครบริสุทธิ์ไง แต่เวลาจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราจะทำให้เป็นความจริงของเราไง ถ้าเป็นความจริงของเรา กิเลสมันจะหลอกเราไม่ได้ใช่ไหม
ถ้ามันไม่เป็นความจริง อู้ฮู! ศีลก็ไม่มี แหม! นั่งภาวนาๆ เอาศีลมาจากไหน มันก็คิดอยู่นั่นน่ะ เราก็วิรัติ วิรัติว่าเราถือศีล ๘ ศีล ๑๐ เราวิรัติขึ้นมาเป็นศีล
พอศีลขึ้นมาแล้ว มันจะทำผิดนะ เมื่อกี้เพิ่งตบยุง นั่งอยู่นั่นเพิ่งตบยุงแป๊ะมาเลย แล้วมานั่งอยู่นี่ แหม! มาวิรัติเอา ก็ตบเมื่อกี้นี้ก็เป็นศีลขาดตอนนู้นไง ตอนนี้มานั่งภาวนานี่ก็วิรัติเดี๋ยวนี้เลย ไอ้ที่ตบยุงตอนนั้นแล้วไป รู้ว่าผิดแล้ว ตอนนี้จะถือศีล ๕ วิรัติ เออ! ศีลเกิดตรงนี้ เกิดเลย
วิรัติต้องมีสัจจะ มีสัตย์ คนไม่มีสัตย์ภาวนาไม่ได้ คนไม่มีสัตย์ทำให้ใจเข้มแข็งไม่ได้ คนที่จิตใจไม่เข้มแข็ง โลเล ภาวนาไม่ได้ นั่งภาวนาคิดไปร้อยแปด นั่งภาวนาแม่งมันไปรอบโลกเลย
แต่ถ้าคนมีสัจจะ คิดอย่างไร ทำอย่างนั้น ตั้งสัจจะเดี๋ยวนั้น วิรัติเดี๋ยวนั้น นี้คือวิรัติศีล แล้วถ้าปฏิบัติเป็นจริงเป็นจัง เป็นจริงเป็นจังจนมีคุณธรรมในใจ นั้นเขาเรียกอธิศีล
อธิศีลคือมันเป็นศีลในตัวมันโดยธรรมชาติ พระอรหันต์อธิศีล ไม่มีเจตนาทำชั่ว ไม่มีเจตนาเรื่องของอวิชชา ไม่มีเจตนาของความเลวทราม อธิศีลเป็นศีลโดยธรรมชาติ มันไม่มีการใฝ่ต่ำ ไม่มีการคิดชั่ว ผิดศีลไหม
นี่พูดเรื่องศีลก่อนนะ เพราะอะไร เพราะคำถามมันถามแล้วมันจะบอกว่า ที่นู้นทำอย่างนู้น ที่นี่ทำอย่างนี้ปั๊บ เราจะไปยกกันไงว่าวัดนั้นทำถูก วัดนี้ทำผิด เราเห็นอย่างนี้มาเยอะ วัดนั้นทำถูก วัดนี้ดีกว่าวัดนี้...ดีจริงหรือ
ดีจริงนะ มันต้องมีดีแบบหยาบๆ ดีอย่างกลาง ดีอย่างเลอเลิศ ดีอย่างเลอเลิศ ดีจนหลุดพ้นจากวัฏฏะ ไม่มีอะไรเป็นข้อแม้เลย สะอาดบริสุทธิ์แล้วรู้ด้วย นี่พูดถึงข้อเท็จจริงไง
ฉะนั้น เขาบอกว่า ที่เขาถือบวชศีล ๘ ควรทำอย่างไร
ถ้ามันควรทำอย่างไร ถ้าจิตเราเป็นธรรม ถ้าเป็นลูกศิษย์กรรมฐาน เรื่องนี้ไม่มีปัญหาเลย ศีลของเรามีอยู่แล้ว
แต่เขาบอกเวลาเขาสวดมนต์ เวลาพระเขาสวดมนต์อย่างนั้น แม่ชีจะสวดได้ไหม
สวดได้ทั้งนั้นน่ะ เพราะการสวดมนต์ สวดมนต์เวลาสวดธัมมจักฯ สวดสิ่งต่างๆ สวดได้ทั้งสิ้น แล้วทำไมเรามาสวดเรื่องศีลไม่ได้ เณร สามเณรสิกขา เณรเวลาสวดมนต์มันสวดสามเณรสิกขาคือศีล ๑๐ ของมันนะ เวลาพระลงอุโบสถ ลงอุโบสถนี้เป็นอุโบสถสามัคคี อันนี้เป็นวินัยกรรม
คำว่า “วินัยกรรม” ต้องทำนะ อย่างกปฺปิยํ กโรหิ อันนี้มันเป็นวินัยกรรม ต้องทำ ถ้าไม่ทำนะ อาบัตินั้นปิดไม่ได้ คำว่า “วินัยกรรม” อุโบสถนี้เป็นวินัยกรรม วินัยกรรมคือการกระทำให้มันครบสมบูรณ์เป็นวินัยขึ้นมา อุโบสถคือเรียกว่าวินัยกรรม ต้องทำ
แล้วอย่างเขา เขาบอกว่าเป็นแม่ชีทำได้ไหม
ถ้าจะทำอย่างไรทำได้ทั้งสิ้น นี่พูดถึงข้อที่ ๑.
“๒. การลงอุโบสถของพระ เราทำได้หรือไม่”
“๓. ถ้าแม่ชีเป็นอุบาสก เป็นอนาคาริกหรือไม่”
เป็น ถ้าเราเป็น ถ้าเราเป็น เรามีสัจจะมีความจริง มันเป็นอยู่แล้ว ขอให้จิตใจเราเข้มแข็ง จิตใจเราเป็นจริง
เรื่องสิ่งที่ศาสนพิธี พิธีกรรมในพระพุทธศาสนา อันนี้มันเป็นพิธีกรรม มันอยู่ที่วาสนานะ ถ้าวาสนาของคนที่มันเข้มแข็งมีสัจจะ อย่างเช่นหลวงตาตั้งสัจจะแล้วนั่งตลอดรุ่ง ถือธุดงค์ต้องธุดงค์ ทำอะไรทำอย่างนั้น นี่มีสัตย์
มีศีล มีสัตย์ ศีลมันเป็นข้อห้าม สัจจะในใจเราต่างหาก สัจจะในใจเราต่างหากแน่นอน ถ้าสัจจะนี้เป็นความจริงแล้วมันจะพัฒนาขึ้น
แต่มนุษย์ที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมันมีเวรมีกรรมมาไม่เหมือนกัน มีความชอบมาไม่เหมือนกัน ความถนัดไม่เหมือนกัน มันอยู่ที่ความถนัด ความชอบของคน แล้วก็มาเถียงกันที่ความถนัด ความชอบต่างๆ วางไว้ กลับมาที่ตัวผู้ถามนะ
ถ้าเราเห็นเขาทำ เราก็ทำตามเขา ถ้ามันไม่กดดันเราจนเกินไป เราก็ทำตามเขา แต่มันเป็นสิทธิ์ของเราในใจของเราจะคิดอย่างใด
แล้วถ้าเราทำ เราทำอย่างที่ว่านี่ อาราธนาศีลนี่คือพิธีกรรม แล้วพิธีกรรมนะ หลวงตาท่านพูดหยอกเรื่อย “ลุกนั่งก็ต้องขอศีล ลุกนั่งก็ต้องขอศีล” ก็ดูพิธีกรรมสิ
แต่ถ้าเป็นจริง วิรัติ มันมีพร้อมอยู่แล้ว
แต่วิรัติแล้วมันก็ไม่ขลังไง จัดงานพิธีก็ไม่ได้ หลอกตังค์ใครก็ไม่ได้ จะหลอกตังค์ใคร “จุดเทียนๆ อาราธนาศีล”...โกหกทั้งนั้น
แต่ความจริงๆ เรามีสมบูรณ์อยู่แล้ว แต่ถ้าไม่มีพิธีกรรมมันหลอกกินไม่ได้นะ ไปวัดไหนก็มีแต่พิธีกรรมทั้งนั้นน่ะ ที่เราถึงปฏิเสธพิธีกรรมทั้งหมด พิธีกรรมมันบังความจริงจังของคน มันบังหัวใจของคน มันบัง เอาพิธีกรรมไง กูไม่ต้องพูดอะไรเลย พิธีกรรมครึ่งวันน่ะ กูขลังฉิบหายเลย
แต่ของเราไม่มี มีแต่สัจจะความจริงนี่ แสดงธรรม สัจธรรมมันเข้าสู่หัวใจแล้วมันเป็นความจริงของมัน
ฉะนั้น ถ้ามันไม่วุ่นวายกับเรา เราอยู่ในวัดใด อยู่ในชุมชนใด เราก็ทำกับเขา คือว่าเราไม่ไปขัดไปแย้งไปเกิดมีปัญหา แต่สิทธิในใจของเราอีกเรื่องหนึ่งนะ
แล้วถ้าเรามั่นคง อาราธนาศีล วิรัติศีล แล้วถ้าเป็นอธิศีลล่ะ ศีลโดยสัจจะเลย ไม่มีเจตนาทำชั่ว ไม่มีใดๆ ทั้งสิ้น แต่ต้องให้เป็นจริงนะ ถ้าคนอ้างอย่างนี้เรื่อย อ้างเพราะขี้เกียจ อ้างเพราะไม่อยากทำอะไร แล้วมันก็เป็นขี้ลอยน้ำ ไม่ได้อะไรเลย
แต่ถ้าเป็นความจริงนะ สติวินัย สมบูรณ์แบบ เทวดา อินทร์ พรหมยังต้องยอมรับ อย่าว่าแต่มนุษย์ เหนือวัฏฏะ พ้นจากวัฏฏะ ดีกว่าสิ่งที่มนุษย์เห็นอีก มนุษย์น่ะมองไม่เห็นต่างหาก นั่นคืออธิศีล เอวัง